จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 100 ิชิ้น |
จำนวน (ิชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ิชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | พดด้วงและเหรียญโบราณอื่นๆ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
เบี้ยจั่น โบราณ
***หอยอาจไม่ตรงตามภาพ แต่สภาพเดียวกัน ขนาด อาจต่างกันเล็กน้อย รับประกันแท้*** หอยเบี้ยจักจั่น หรือ เบี้ยจั่น เป็นหอยทะเลฝาเดียวชนิดหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ โดยใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนสิ่งของแทนเงินตราในปัจจุบัน นอกจากนี้แล้วยังมีความเชื่อเกี่ยวกับหอยเบี้ยมากมาย โดยเฉพาะความเชื่อของคนโบราณ ซึ่งมีความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับหอยเบี้ยที่ค่อนข้างแตกต่างกันไปอย่างมากมาย บ้างก็มีความเชื่อว่าการแขวนเบี้ยจั่นจะสามารถป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย และฟันผุได้ บ้างก็ว่า เอาไปฝนละลายกับน้ำมะนาว ช่วยแก้โรคปัสสาวะไม่ออกได้ หรือการพก ?เบี้ยแก้? อันเป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าทำจากเบี้ยจั่นที่บรรจุปรอทแล้วเปิดทับด้วยชันโรงใต้ดิน อาจจะมีแผ่นทองแดงลงอักขระยันต์หรือไม่ก็ได้ เชื่อกันว่า ถ้าพกเบี้ยชนิดนี้ไว้กับตัวเวลาเดินทางรอนแรมในป่า จะช่วยป้องกันไข้ป่า รวมถึงป้องกัน และแก้ไขภยันอันตรายจากร้ายให้กลายเป็นดีได้ และสุดท้ายความเชื่อที่ว่าคนโบราณนิยมผูกตัวเบี้ยไว้ที่ข้อมือเด็ก ด้วยเชื่อว่าเบี้ยจะสามารถป้องกันภูตผีปีศาจได้นั่นเอง #จากหอยเบี้ย"สู่เงินตรา"
#วันนี้..วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๐๕ สยามประกาศใช้กะแปะ อัฐ โสฬส ที่ทำขึ้นใหม่ และ #ยกเลิกการใช้หอยเบี้ย
#ในสมัยก่อน “หอยเบี้ย” นอกจากจะใช้แทนเงินตราหรือแลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว ยังถูกใช้เป็นเครื่องประดับที่มีค่า และในวัฒนธรรมไทยถูกนำมาใช้เป็นเครื่องรางของขลัง พิธีกรรมต่างๆ ซึ่งประเทศที่นิยมใช้หอยเบี้ยแลกเปลี่ยนสินค้าแทนเงิน พบได้ตามเส้นทางค้าขายทางเรือ เช่น จีน อินเดีย ยุโรป แอฟริกา และตะวัน
#ในดินแดนสยาม ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบการใช้หอยเบี้ยในแหล่งชุมชนโบราณ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่านำมาใช้แทนเงินตราหรือไม่ แต่จากหลักฐานในสมัยประวัติศาสตร์ของดินแดนสยาม พบว่า มีการนำหอยเบี้ยมาใช้แลกเปลี่ยนสินค้าหรือใช้เป็นเงินตรามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา กรุงธนบุรี จนถึงต้นรัตนโกสินทร์
#หอยเบี้ยที่ถูกนำมาใช้ส่วนใหญ่ มาจากหมู่เกาะมัลดีฟส์ในมหาสมุทรอินเดีย ส่งผลให้มีอัตราแลกเปลี่ยนไม่คงที่ เพราะขึ้นอยู่กับจำนวนที่พ่อค้านำเข้ามา หากนำเข้ามามากก็จะทำให้เกิดภาวะเบี้ยเฟ้อ กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์ทรงเห็นว่า หอยเบี้ยเป็นสัตว์ วิธีการได้มานั้นเป็นการทำบาป จึงรับสั่งให้พระยาคลังสั่งทำแบบเหรียญโลหะตัวอย่างจากประเทศอังกฤษเพื่อนำมาใช้แทนหอยเบี้ย เรียกว่า “เหรียญเมืองไท” มี ๒ แบบ คือ หน้าเหรียญเป็นรูปดอกบัวและรูปช้าง แต่ทรงไม่โปรดจึงไม่ได้สั่งผลิตออกมาใช้ และทรงรับสั่งให้ผลิตขึ้นใหม่ แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน
#จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้มีการทำสนธิสัญญาการค้ากับต่างประเทศและมีความต้องการใช้เงินจำนวนมาก เงินพดด้วงมีจำนวนไม่เพียงพอ รวมทั้งมีการปลอมขึ้นมามาก หอยเบี้ยจึงกลายเป็นเงินปลีกย่อยที่มีราคาน้อยสุดหรือแทบไม่มีราคาเลย ประกอบกับในขณะนั้นได้รับเครื่องจักรผลิตเหรียญโลหะมาจากประเทศอังกฤษและเริ่มมีการผลิตเหรียญ การใช้หอยเบี้ยจึงค่อยๆ ลดลงไปจากสังคม และหายไปจากระบบเงินตรานับแต่นั้นเป็นต้นมา
#สมัยสุโขทัย หอยเบี้ยมีอัตราแลกเปลี่ยนคือ ๘๐๐ เบี้ยต่อเฟื้อง (๖,๔๐๐ เบี้ยต่อบาท)
#สมัยอยุธยา ๘๐๐-๙๐๐ เบี้ยต่อเฟื้อง (๖,๔๐๐-๗,๒๐๐ เบี้ยต่อบาท) ถึงแม้สมัยอยุธยาจะมีการใช้เงิน ทองและทองแดงแล้ว เบี้ยก็ยังเป็นเงินตราปลีกย่อยราคาต่ำที่สุดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
#สมัยกรุงธนบุรี ยังคงใช้หอยเบี้ยเป็นเงินตราปลีกย่อยคู่กับเงินพดด้วง แต่มีอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงมาก คือ ๒๐๐ เบี้ยต่อเฟื้อง (๑,๖๐๐ เบี้ยต่อบาท) เนื่องจากในสมัยนั้นบ้านเมืองต้องประสบกับภาวะสงคราม รวมถึงสภาพเศรษฐกิจบ้านเมืองในขณะนั้น เบี้ยเพียง ๓-๔ เบี้ยก็สามารถซื้อหาของกินได้แล้ว
#สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นมา ได้ใช้หอยเบี้ยกับเงินพดด้วงเป็นเงินตราแลกเปลี่ยน แต่กำหนดให้มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ ๔๐๐ เบี้ยต่อเฟื้อง (๓,๒๐๐ เบี้ยต่อบาท) และกำหนดบทลงโทษหากมีใครซื้อขายเบี้ยเกินนี้ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีพ่อค้านำหอยเบี้ยเข้ามามาก ทำให้เกิดภาวะเบี้ยเฟ้อ โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ ๑,๓๐๐ เบี้ยต่อเฟื้อง (๑๐,๔๐๐ เบี้ยต่อบาท) จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการนำเครื่องผลิตเหรียญโลหะเข้ามา หอยเบี้ยจึงค่อยๆ หายไปจากระบบเงินตรา
#เครดิต : สำนักข่าวสับปะรด
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
ราคานี้ยังใม่รวมค่าส่ง ems 50บาท ต่อการสั่งซื้อ 1 ครั้ง ขอบคุณที่สั่งซื้อ สินค้าจากทางร้าน มีปัญหากับสินค้าที่สั่งซื้อ ยินดีรับคืนเต็มจำนวน
(ผู้ซื้อจะต้องออกค่าใช้จ่ายในการส่งสินค้ากับมาคืน) |
Tags |
เลือกช่องทางที่คุณสะดวก เพื่อชำระเงินให้ร้านค้าโดยตรง หากมีข้อสงสัย กรุณา ติดต่อเรา